สุเหร่าโซเฟีย หรือในภาษากรีกเรียกว่า “ฮาเกียโซเฟีย (Αγία Σοφία)” และในภาษาตุรกีเรียกว่า “อายาโซเฟีย (Ayasofya)” ซึ่งในปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย (Ayasofya Museum) หรือฮายาโซฟีอา (Ayasofya Müzesi) อยู่ที่นครอีสตันบูล, ประเทศทูร์เคีย (Turkiye; Türkiye ทูร์กีเย) โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐทูร์เคีย (the Republic of Türkiye) หรือที่เรารู้จักในชื่อเดิม ประเทศตุรกี (Turkey)
กว่าจะมาเป็นสุเหร่าและพิพิธภัณฑ์ อย่างที่เห็นในปัจจุบันนั้น ที่แห่งนี้ได้ผ่านการสร้างมาแล้ว ถึงสามครั้งในสถานที่เดียวกัน
โดยในการสร้างครั้งแรก เคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 360 โดยจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมัน (Constantius II, ค.ศ. 337 – ค.ศ. 361)
จากหลักฐานของ ตราที่ประทับบนอิฐซึ่งถูกค้นพบ ทำให้เชื่อว่าโบสถ์แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า โบสถ์ใหญ่ (Megale Ekklesia) โดยต่อมาในปี ค.ศ. 404 ในรัชสมัยของพระมเหสีของจักรพรรดิอาร์กาดิอุส (Emperor Arcadius, ค.ศ. 395 – ค.ศ. 408) โบสถ์แห่งนี้ถูกทำลาย จากการถูกเผาในเหตุการณ์จลาจล
ที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง จักรพรรดินีแอเลียยูด็อกเซีย (Aelia Eudoxia Empress of the Roman Empire) กับนักบุญจอห์น คริสซอสตอม (John Chrysostom, ค.ศ. 349 – ค.ศ. 407) ผู้เป็นอัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิล (Ecumenical Patriarch of Constantinople)
ต่อมาในปี ค.ศ. 415 โบสถ์ที่สอง ถูกสร้างขึ้นใหม่โดย จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 2 (Theodosius II Emperor of the Roman Empire, ค.ศ. 408 – ค.ศ. 450) และถูกทำลายพังยับเยิน ในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 532 จากเหตุการณ์จลาจลนิก้า (Nika Revolt)
สำหรับโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันนั้น เริ่มการก่อสร้างเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 532 โดยอีซีดอร์แห่งมีเลตุส (Isidore of Miletus) และแอนเธมีอุสแห่งทราลเล็ส (Anthemius of Tralles) ซึ่งเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ด้วยคำสั่งของ จักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 (Justinian I Emperor of the Byzantine Empire, ค.ศ. 482 – ค.ศ. 565)
ซึ่งใช้เวลาในการสร้าง อย่างเสร็จสมบูรณ์เพียง 5 ปี โดยจัดพิธีเปิด และบูชาโบสถ์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 537 และคงอยู่มาถึงจนปัจจุบัน ทำให้สุเหร่าโซเฟีย เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ยังหลงเหลืออยู่ ของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์
ภายในสุเหร่ามีความกว้างขวาง และมีโครงสร้างที่ซับซ้อน วิหารถูกปกคลุมด้วย โดมกลางที่มีความสูง 55.6 เมตร จากระดับพื้น และรอบฐานของโครงสร้างวาง อยู่บนโค้งประตู 40 บาน เพื่อช่วยลดน้ำหนัก และเสริมความแข็งแรง ของโครงสร้างของโดม โดมรูปวงรีมีเส้นผ่าศูนย์กลาง อยู่ระหว่าง 31.24 ถึง 30.86 เมตร
ภายในตกแต่งด้วยเสาหินอ่อน และพื้นหินอ่อน ซึ่งนำมาจากเมืองโบราณอนาโตเลีย (Anatolia), ซีเรีย (Syria) และเมืองอื่นๆ โดยรอบ ได้แก่ เมืองอัสเพนโดส เอเพสซุส (Aspendos Ephessus), เมืองบัลบีค (Baalbeek) และเมืองทาร์ซา (Tarsa) เป็นต้น
โดยหินอ่อนสีขาวมาจากเกาะมาร์มารา (Marmara), หินโปร์ฟิริสีเขียว (Porphyry) จากเกาะเอรีโบซ (Eğriboz Island), หินอ่อนสีชมพูจากเมืองอัฟยอน (Afyon) และหินสีเหลืองจากแอฟริกาเหนือ
สำหรับกำแพงของสุเหร่าทั้งหมด ยกเว้นกำแพงหินอ่อน ถูกตกแต่งด้วยภาพโมเสคของพระเยซู, พระแม่มารี, นักบุญคริสเตียน และทูตสวรรค์ ซึ่งมีการใช้ทอง, เงิน, แก้ว และหินหลากสี เพื่อสร้างภาพโมเสค ให้สวยงามเป็นพิเศษ
วิหารแห่งนี้จึงได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม และทรงคุณค่าทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ โดยจักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 (Justinian I Emperor of the Byzantine Empire, ค.ศ. 482 – ค.ศ. 565) ได้ทรงดูแลความสมบูรณ์ เพื่อให้เป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยสร้างขึ้นมาสมัยนั้น
สุเหร่าถูกบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ. 859 และเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ. 553, ค.ศ. 558, ค.ศ. 869 และ ค.ศ. 989 ตามลำดับ และมันก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดนับพันปี จนกระทั่งวิหารเซบียา (Seville Cathedral) ถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1520
ต่อในปี ค.ศ. 1453 กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกพิชิตโดยจักรวรรดิออตโตมัน ภายใต้การปกครองของ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน (Mehmed the Conqueror, ค.ศ. 1432 – ค.ศ. 1481) สุเหร่าโซเฟียได้รับการปรับปรุงให้เป็นมัสยิด
โดยการนำระฆัง, แท่นบูชา, วัตถุอื่นๆ รวมถึงภาพโมเสคถูกนำออกไป และเพิ่มสัญลักษณ์ทางศาสานาอิสลาม ถูกนำเข้ามาแทนที่ เช่น มิหร็อบ (Mihrab) เป็นแท่นบูชา เพื่อที่ใช้เป็นประชุมทิศ สำหรับการประกอบศาสนกิจ และมินบาร์ (Minbar) ธรรมาสน์สำหรับอีหม่าม (Imam) ขึ้นนั่งเพื่อนำละหมาดและเทศน์คำสอน เป็นต้น
รวมไปถึงแผงอักษรตัว ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอิสลาม ซึ่งเป็นแผงตัวอักษรประดิษฐ์ขนาด 7.5 – 8 เมตร ที่เขียนขึ้นโดย Caligrapher Kadıasker Mustafa İzzet Efendi สุเหร่าโซเฟียยังคงเป็นมัสยิด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 ได้ถูกปิดไปเป็นเวลาสี่ปี
ต่อมา สุเหร่าโซเฟียถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ตามคำสั่งของ มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก (Mustafa Kemal Atatürk) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีตุรกีคนแรก และเป็นผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี
โดยพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย (Ayasofya Museum) เปิดทำการครั้งแรก ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935 และกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญและยอดนิยมของประเทศทูร์เคีย (Turkiye; Türkiye ทูร์กีเย) โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐทูร์เคีย (the Republic of Türkiye) หรือที่เรารู้จักในชื่อเดิม ประเทศตุรกี (Turkey) ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งใน และต่างประเทศ ให้มาเยือนยังที่แห่งนี้
นอกจากนี้สุเหร่าโซเฟีย ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ ทางสถาปัตยกรรมของโลก ในยุคกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ใน พื้นที่ประวัติศาสตร์ของอิสตันบูล (Historic Areas of Istanbul) ที่ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็น มรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1985 อีกด้วย
ที่อยู่ Sultan Ahmet Mahallesi, Ayasofya Meydanı, 34122 Fatih/İstanbul, Turkey
ข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อสอบถาม +90 212 522 17 50
website: ayasofyamuzesi.gov.tr (ตุรกี, อังกฤษ) หรือ istanbul.gov.tr
เวลาทำการ
ฤดูร้อน (15 เมษายน – 30 ตุลาคม): 09:00 น. – 19:00 น.
ฤดูหนาว (30 ตุลาคม – 15 เมษายน): 09:00 น. – 17:00 น.
เวลาเข้าชมครั้งสุดท้ายคือ ก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง
วันปิดทำการ พิพิธภัณฑ์ Hagia Sophia ไม่สามารถเข้าชมได้ในวันแรก ของเทศกาลรอมฎอน และ Sacrifice Festivals for half time
ค่าเข้าชม 40 TL
สามารถใช้ อีสตันบูลมิวเซียมพาส (MUSEUM PASS İSTANBUL) ได้
การเดินทาง
Sultanahmet Station (Istanbul Tram T1) และเดินประมาณ 3 นาที, 300 เมตร
by Google Map